แนะแนววิธีการจัดการ สาระน่ารู้หรือเคล็ดลับดีๆในการใช้บัตรเครดิตให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงหลายๆเรื่องที่คุณไม่รู้มาก่อน มาอัพเดทกันก่อนใคร ที่นี่ ..
ทุกเรื่องบัตรเครดิตที่คุณควรรู้
เมื่อพูดถึง ไข้หวัดใหญ่ หลายคนอาจคิดว่าเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดาที่หายได้เองในไม่กี่วัน แต่คุณรู้หรือไม่ว่าในความเป็นจริงแล้ว ไข้หวัดใหญ่โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่รุนแรง สามารถสร้างผลกระทบที่ร้ายแรงต่อร่างกายได้มากกว่าที่คิด และในบางกรณีอาจถึงขั้นเป็นอันตรายถึงชีวิต! ซึ่งบทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่า ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร รวมถึง พร้อมแนะนำวิธีป้องกัน เพื่อให้คุณเตรียมพร้อมรับมือกับโรคไข้หวัดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลายคนมักสับสนระหว่าง ไข้หวัดธรรมดา กับ ไข้หวัดใหญ่ เพราะมีอาการคล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นไข้ ไอ หรือคัดจมูก แต่รู้ไหมว่าจริงๆ แล้วสองโรคนี้แตกต่างกันอย่างมาก โดยไข้หวัดใหญ่จะมีความรุนแรงกว่า ฟื้นตัวช้ากว่า และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอันตราย โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงอย่างเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคประจำตัว มาดูกันวิธีสังเกตอาการเบื้องต้นเพื่อให้รับมือได้ทันท่วงทีกันได้เลย
ดังนั้น ถ้าอาการมาแบบ “ค่อยเป็นค่อยไป” ไข้ไม่สูงมาก มีน้ำมูกก็มีแนวโน้มเป็น ไข้หวัดธรรมดา แต่ถ้าไข้ขึ้นสูงทันที หนาวสั่น ปวดเมื่อยจุกๆ ก็มีแนวโน้มเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้อาการจะแตกต่างกันพอสมควร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถวินิจฉัยได้ด้วยตัวเอง 100% เสมอไป เพราะบางคนอาจมีอาการที่ไม่ตรงตามตำราเป๊ะๆ เช่น ไข้หวัดธรรมดาก็อาจทำให้ปวดเมื่อยมากได้ หรือไข้หวัดใหญ่ในบางรายก็อาจไม่มีไข้สูง ถ้ารู้สึกว่าตัวเอง “ไม่สบายแบบผิดปกติ” หรือมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดเมื่อยมาก และไม่ดีขึ้นใน 2–3 วัน ควรรีบตรวจสอบให้แน่ใจ เช่น
เมื่อพูดถึง “ไข้หวัดใหญ่” หลายคนอาจไม่รู้ว่าเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคนี้มีหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์ A และ B ซึ่งเป็นสองชนิดหลักที่พบได้บ่อยในคน และมักเป็นตัวการหลักของการระบาดในแต่ละปี มาดูความแตกต่างของไข้หวัดใหญ่ของแต่ละสายพันธุ์กันเลย
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (Influenza A) เป็นสายพันธุ์ที่พบได้ทั้งในคนและสัตว์ เช่น นกหรือหมู จึงมีความสามารถในการ กลายพันธุ์และข้ามสายพันธุ์จากสัตว์สู่คนได้ ส่ิงนี้ทำให้ไวรัสชนิดนี้มีศักยภาพในการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและรุนแรงมากที่สุดในบรรดาสายพันธุ์ทั้งหมด โดยที่ผ่านมาไวรัส A เป็นสาเหตุของการระบาดใหญ่ทั่วโลก (pandemic) หลายครั้ง เช่น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1
ซึ่งอาการของสายพันธุ์ A มักจะมาแบบรวดเร็วและรุนแรง เช่น ไข้สูงเฉียบพลัน หนาวสั่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เหนื่อยล้า และเจ็บคอ โดยอาการจะเริ่มแสดงภายใน 1-2 วันหลังติดเชื้อ และมีระยะฟักตัว 1-4 วัน มักส่งผลกระทบหนักในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้ที่มีโรคประจำตัว
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B (Influenza B) เป็นไวรัสที่พบเฉพาะในมนุษย์เท่านั้น และไม่พบในสัตว์ จึงไม่มีการกลายพันธุ์แบบข้ามสายพันธุ์เหมือนสายพันธุ์ A นั่นทำให้การระบาดของไวรัส B มักเป็น แบบจำกัดในฤดูกาล ไม่รุนแรงเท่าชนิด A และไม่นำไปสู่การระบาดใหญ่ทั่วโลกโดยอาการของสายพันธุ์ B ค่อยๆ ปรากฏทีละอย่าง เช่น ไอแห้ง เจ็บคอ ปวดหัว คัดจมูก และมีไข้ปานกลาง ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคล้ายเป็นหวัดทั่วไปไม่รุนแรง ซึ่งไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B จะมีระยะฟักตัว 1-4 วัน ทำให้หลายๆ คนชะล่าใจ จึงส่งผลเสียต่อกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กวัยเรียน หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ สามารถมีอาการรุนแรงได้หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม
ไม่ใช่แค่ “ป่วยแล้วค่อยรักษา” เพราะ ไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะ สายพันธุ์ A และ B เป็นโรคที่มีอะไรมากกว่าที่คิด บางคนแค่ได้ยินว่าเป็นไข้ ก็คิดว่าเดี๋ยวก็หาย แต่ความจริงคือ. อาจต้องนอนซมหลายวัน งดไปทำงาน พักเรียน หรือแย่กว่านั้นถ้าไม่ดูแลให้ดีอาจลุกลามจนต้องเข้าโรงพยาบาลได้เลย ดังนั้น เพื่อไขข้อสงสัยนี่คือ 5 คำถามที่ถูกถามบ่อยๆ เกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่ มาหาคำตอบไปพร้อมกันเลย
ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ A หรือ B มักมีอาการนานประมาณ 5-7 วัน โดยในช่วง 2-3 วันแรก จะมีอาการเด่นชัด เช่น ไข้สูง หนาวสั่น ปวดตัว หรือไอแห้ง ก่อนที่อาการจะค่อยๆ ทุเลาลง
และโดยเฉพาะผู้ที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคเรื้อรัง อาการอาจยาวนานถึง 10-14 วัน และต้องใช้เวลาฟื้นตัวมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ เป็นต้น
ถึงแม้ว่าว่าไข้จะลดลงและรู้สึกดีขึ้นแล้ว แต่ร่างกายยังสามารถแพร่เชื้อได้อีกประมาณ 5-7 วัน แพทย์ก็จะวินิจฉัยให้พักจนไม่มีไข้ติดต่อกันอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง และพิจารณาหยุดเรียนหรือหยุดงานประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่คนอื่น
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยมีราคาประมาณ 400-800 ขึ้นอยู่กับสถานพยาบาลแต่ละแห่ง โดยสามารถเข้ารับบริการได้ทั้งจากโรงพยาบาลรัฐ เอกชน คลินิก และจำเป็นต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี เพราะเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะสายพันธุ์ A และ B มีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา ทำให้วัคซีนในปีที่แล้วอาจไม่สามารถป้องกันเชื้อที่ระบาดในปีนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) จึงมีการอัปเดตสูตรวัคซีนใหม่ทุกปี เพื่อให้ครอบคลุมสายพันธุ์หลักที่คาดว่าจะระบาด
ถึงคุณจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เหมือนเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคประจำตัว แต่การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ก็เป็นเกราะป้องกันช่วยลดความเสี่ยงในการป่วยรุนแรง ลดการแพร่เชื้อให้คนรอบตัว และช่วยลดภาระทางสาธารณสุขได้มาก ดังนั้น ทุกๆ คนสามารถฉีดได้
นอกจากนี้ ถ้าใครกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ราคาแพงเกินไป ยังมีโครงการฉีดวัคซีนฟรีจากหน่วยงานรัฐ เช่น กรุงเทพมหานคร หรือสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งมักเปิดให้ลงทะเบียนฉีดวัคซีนฟรีสำหรับกลุ่มเปราะบางในช่วงกลางปีของทุกปีเช่นกัน
หากเปรียบเทียบในแง่ของความสามารถในการแพร่เชื้อและความรุนแรงของโรค ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ถือว่าน่ากลัวกว่า ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B เนื่องจาก
แต่ถึงอย่างนั้น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ก็ยังเป็นสาเหตุให้คนจำนวนมากต้องหยุดเรียนหรือหยุดงาน และส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ไม่น้อย โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง ดังนั้น จึงควรให้ความสำคัญกับการป้องกันไข้หวัดใหญ่ทั้ง 2 สายพันธุ์
จะเห็นได้ว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ค่อนข้างอันตรายเพราะมีการระบาดได้รุนแรงและเป็นวงกว้างกว่า ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ที่ทำให้เจ็บป่วยจนต้องหยุดเรียนหรือหยุดงานได้หลายวัน โดยเฉพาะในเด็กวัยเรียนหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ แต่ไม่ว่าจะไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ไหนก็ไม่ควรมองข้าม และเพื่อให้ปลอดภัยและห่างไกลโรคไข้หวัดใหญ่มากที่สุด นี่คือวิธีที่คุณสามารถทำเองได้ในทุกวัน
ถึงจะหลีกเลี่ยงเชื้อไวรัสไม่ได้ 100% แต่การป้องกันที่ทำได้เป็นประจำทุกวันเหล่านี้ ก็จะเป็นส่วนช่วยให้คุณมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วย และรับมือกับไข้หวัดใหญ่ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
แม้ “ไข้หวัดใหญ่” จะฟังดูเป็นโรคทั่วไปที่พบได้บ่อยในช่วงฤดูฝนหรือฤดูหนาว แต่ในความเป็นจริง ไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะสายพันธุ์ A ยังคงเป็นภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้อาการรุนแรง และเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนในกลุ่มเปราะบางอย่างมาก สิ่งที่สำคัญคือ “การป้องกันก่อนจะติดเชื้อ” ดังนั้น อย่าลืมฉีดวัคซีนทุกปี ล้างมือเป็นประจำ ฯลฯ เพราะแค่ดูแลตัวเองให้ดีทุกวัน ก็ลดความเสี่ยงจาก “ไข้หวัดใหญ่” ได้มากกว่าที่คิด!
ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมควบคุมโรค, โรงพยาบาลวัฒนแพทย์ สมุย, โรงพยาบาลวิมุต, โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3, กระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค, hdmall, สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย