ขับรถลุยน้ำหน้าฝน เสี่ยงรถพังไม่รู้ตัว! รวมเทคนิคขับลุยน้ำให้ปลอดภัย เช็กลิสต์ดูแลรถ และคำตอบว่าประกันรถยนต์จะจ่ายไหมเมื่อน้ำ แถมด้วยสิทธิพิเศษดี ๆ สำหรับลูกค้า AEON เมื่อซื้อประกันรถยนต์บน แอปพลิเคชัน
การขับรถในฤดูฝนมักมาพร้อมกับอุปสรรคที่หลีกเลี่ยงได้ยากสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนน นอกจากจะต้องเผชิญกับถนนลื่นและทัศนวิสัยที่ลดลงแล้ว อีกหนึ่งความเสี่ยงสำคัญ โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำ ก็คือ “การขับรถลุยน้ำ” ซึ่งอาจนำมาซึ่งความเสียหายจนร้ายแรงอย่าง “รถพัง” หากไม่ระมัดระวัง บทความนี้จะพาคุณไปหาคำตอบว่า ถ้าจำเป็นต้องขับรถลุยน้ำหน้าฝนขับยังไงไม่ให้รถพัง และที่สำคัญถ้าขับรถลุยจนน้ำเข้ารถ ประกันรถยนต์จะจ่ายไหม เพื่อให้คุณอุ่นใจ แม้ในวันที่ฝนตกหนักจนน้ำทะลักท่วมถนน

ไขข้อสงสัย ทำไมการขับรถลุยน้ำจนน้ำท่วมรถ ถึงเสี่ยงรถพัง?
หลายคนคิดว่าน้ำท่วมรถเป็นเรื่องเล็กน้อย ขอแค่ขับพ้นไปได้ก็พอ แต่ความจริงแล้วแม้น้ำสูงเพียง 10 เซนติเมตร หากเข้าไปในจุดสำคัญของรถ อาจสร้างความเสียหายหลักหมื่นถึงแสนบาท จุดที่เสี่ยง ได้แก่
- น้ำเข้าเครื่องยนต์ : ความเสียหายที่ร้ายแรงที่สุด เพราะน้ำไม่สามารถอัดตัวได้เหมือนอากาศ ถ้าน้ำเข้าไปในห้องเผาไหม้ตอนเครื่องทำงาน จะทำให้เกิดแรงดันผิดปกติ จนชิ้นส่วนข้างใน เช่น ก้านสูบหรือลูกสูบพัง เครื่องยนต์จะน็อค และอาจต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่
- น้ำเข้าระบบไฟฟ้า : เนื่องจากรถรุ่นใหม่มีระบบไฟฟ้าเยอะ ถ้าน้ำท่วมถึงกล่อง ECU หรือสายไฟ อาจจะทำให้เกิดไฟลัดวงจร ระบบไฟขัดข้อง หรือรถดับได้
- น้ำเข้าห้องโดยสาร : ถ้าหากว่าขับรถลุยน้ำจนน้ำเข้าห้องโดยสาร อาจจะส่งผลให้ข้างในรถชื้น เหม็นอับ กลายเป็นที่สะสมของเชื้อราและแบคทีเรีย เบาะ พรม แผงควบคุมอาจเสียหายจนต้องซ่อมหรือเปลี่ยนใหม่
- ระบบเบรกทำงานผิดปกติ : ถ้าขับรถลุยน้ำมาแล้ว เบรกอาจจะไม่ดีเหมือนเดิม เพราะความชื้นทำให้แรงเสียดทานลดลง หรือถ้าทิ้งไว้นาน อาจเกิดสนิมที่จานเบรกและลูกสูบเบรก
- น้ำเข้าระบบส่งกำลังหรือเกียร์ : น้ำอาจรั่วเข้าไปในระบบเกียร์หรือน้ำมันเฟืองท้าย ทำให้น้ำมันหล่อลื่นเจือจางหรือปนเปื้อน ส่งผลให้ระบบเปลี่ยนเกียร์รวน หรือเกิดความเสียหายในชุดเกียร์ ซึ่งค่าซ่อมสูงมาก
- ลูกปืนล้อและระบบช่วงล่างเสื่อมสภาพ เมื่อขับรถลุยน้ำที่ปนโคลนหรือเศษทรายเล็กๆ สิ่งสกปรกเหล่านี้สามารถเล็ดลอดเข้าไปติดในชิ้นส่วนใต้ท้องรถ เช่น ลูกปืนล้อ ลูกหมาก หรือบูชยาง ที่เป็นชิ้นส่วนช่วยซับแรงและทำให้รถทรงตัวได้ดี อาจทำให้เกิดเสียงดังขณะขับรถ ระบบช่วงล่างสึกหรอเร็ว และรู้สึกว่ารถสะเทือนหรือทรงตัวยากกว่าปกติ

รวมเช็กลิสต์ก่อน-ระหว่าง-หลังขับรถลุยน้ำเพื่อให้รถพังน้อยที่สุด
ประเทศไทยเข้าสู่หน้าฝนทีไร ถนนหลายสายกลายเป็นแอ่งน้ำขังจนเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องขับรถลุยน้ำท่วม บางคนคิดว่าแค่ขับรถลุยน้ำช้าๆ ก็ไม่น่ามีปัญหา แต่จริงๆ แล้ว "ขับไม่ระวัง" อาจทำให้รถพังทั้งคันแบบไม่รู้ตัว ถ้าจำเป็นต้องขับลุยน้ำ นี่คือเช็กลิสต์ก่อน-ระหว่าง-หลัง ที่จะช่วยให้คุณและรถคู่ใจปลอดภัยจากความเสียหายที่ไม่จำเป็น
ก่อนขับรถลุยน้ำ ต้องประเมินสถานการณ์
ก่อนจะพุ่งขับรถลุยน้ำ ควรหยุดคิดสักนิด เพราะความเสียหายจากการขับลุยน้ำที่ "ไม่ประเมินสถานการณ์" ล่วงหน้า อาจหนักกว่าที่คิด ลองเช็กจุดง่าย ๆ เหล่านี้ก่อนตัดสินใจ
- เช็กระดับน้ำก่อนขับรถลุยน้ำท่วม : ก่อนตัดสินใจขับรถลุยน้ำควรตรวจสอบระดับน้ำก่อนว่าสูงเกินครึ่งล้อหรือท่วมถึงชายประตูหรือไม่ ถ้าเกิน ห้ามขับรถลุยน้ำ เพราะมีโอกาสสูงที่น้ำท่วมรถจนน้ำเข้ารถ หรือน้ำเข้าห้องโดยสาร อาจทำให้เครื่องยนต์ดับและระบบไฟฟ้าเสียหายได้
- ปิดแอร์ เปิดกระจกเล็กน้อย : ปิดระบบปรับอากาศทันทีเมื่อต้องขับรถลุยน้ำท่วม เพื่อป้องกันไม่ให้พัดลมแอร์ดูดน้ำเข้าระบบ ซึ่งอาจทำให้เครื่องยนต์ดับและระบบไฟฟ้าเสียหายได้
- ปิดระบบอัตโนมัติ (Cruise Control) : ระบบนี้ออกแบบให้ใช้ถนนแห้ง หากเปิดใช้งานขณะลุยน้ำ อาจทำให้รถเหินน้ำ (hydroplaning) หรือควบคุมรถได้ช้าลงในสถานการณ์ฉุกเฉิน
น้ำท่วมรถแต่ต้องขับรถลุยน้ำ ต้องใช้เทคนิคให้ปลอดภัย
ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ที่ต้องขับรถลุยน้ำ เทคนิคการขับที่ถูกต้องคือกุญแจสำคัญเพราะส่วนนี้จะเป็นการชี้วัดเลยว่ารถจะรอดหรือพัง เทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้คุณขับผ่านน้ำได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยขึ้น
- ขับเกียร์ต่ำ เดินหน้าต่อเนื่อง : ให้ขับรถลุยน้ำท่วมด้วยเกียร์ต่ำ (เกียร์ 1 หรือ 2 สำหรับเกียร์ธรรมดา และเกียร์ L สำหรับเกียร์อัตโนมัติ) เพื่อรักษาระดับความเร็วให้คงที่ ห้ามเบรกหรือเร่งเครื่องยนต์กะทันหัน จะทำให้น้ำข้างนอกกระแทกเข้าเครื่องยนต์ ควรรักษารอบเครื่องยนต์ประมาณ 1,500-2,000 รอบต่อนาที เพื่อป้องกันเครื่องยนต์ดับ
- เว้นระยะห่างจากรถคันหน้า : ควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าให้มากกว่าปกติ เพื่อหลีกเลี่ยงคลื่นน้ำที่อาจกระแทกรถของคุณ และลดความเสี่ยงจากการเบรกไม่ทัน เนื่องจากประสิทธิภาพของเบรกจะลดลงเมื่อต้องขับรถลุยน้ำท่วม
- อย่าจอดหรือติดอยู่กลางน้ำท่วม : ถ้าเจอน้ำท่วมรถแล้วตัดสินใจขับรถลุยน้ำไป แล้วรถดับกลางทาง อย่าสตาร์ทรถเด็ดขาด เพราะอาจทำให้น้ำเข้าเครื่องยนต์และพังถาวรได้ ควรเข็นรถออกจากพื้นที่น้ำท่วม และติดต่อช่างซ่อมรถทันที
หลังขับรถลุยน้ำท่วม ต้องรีบเช็กรถก่อนรถพัง
ถึงรถยนต์จะดูขับได้ปกติหลังขับรถลุยน้ำท่วม แต่ความชื้นและน้ำที่ซึมเข้าไปในระบบต่างๆ อาจเริ่มทำงานเงียบๆ จนทำให้คุณอาจต้องจ่ายเงินหลักหมื่นในอีกไม่กี่วัน หากขับรถลุยน้ำมาแล้ว ควรรีบเช็กด้วยตัวเองในเบื้องต้น ก็ช่วยป้องกันความเสียหายได้ ก่อนนำส่งศูนย์ซ่อม (ในกรณีที่เสีย) ในลำดับถัดไป
- ตรวจสอบระบบเบรก : หลังขับพ้นน้ำท่วม อย่าเพิ่งเร่งเครื่องออกตัวทันที ให้เหยียบเบรกซ้ำ ๆ เพื่อไล่น้ำออกจากผ้าเบรก เพราะเมื่อเบรกเปียกจะเกาะถนนได้แย่ลง เสี่ยงลื่นหรือเบรกไม่อยู่ หากเบรกยังรู้สึกผิดปกติหลังจากนั้น ควรรีบนำรถให้ช่างตรวจสอบทันที
- อย่ารีบดับเครื่องยนต์ทันที : เมื่อถึงที่หมายแล้ว อย่าดับเครื่องทันที ควรปล่อยให้เดินเบาสักพัก เพื่อให้ความร้อนช่วยไล่ความชื้น โดยเฉพาะบริเวณท่อไอเสีย หากเครื่องกระตุกหรือเร่งไม่ขึ้น ควรตรวจระดับน้ำมันเครื่อง หากสีขุ่นหรือคล้ายนมกาแฟ แสดงว่าน้ำเข้าเครื่อง ต้องรีบเข้าศูนย์ทันที
- เช็กห้องโดยสารและไล่ความชื้น : แม้น้ำท่วมรถจะไม่เข้าห้องโดยสาร แต่ก็มีความชื้นสะสม กลิ่นอับ หรือเชื้อราเกิดขึ้นได้ ควรนำพรมพื้นออกมาตากแดด เปิดประตูรถให้ลมถ่ายเท เพื่อไล่ความชื้นออกจากภายในให้หมดจด
- ตรวจระบบไฟฟ้าและ ECU : แม้รถจะยังใช้ได้หลังจากขับรถลุยน้ำท่วมมาแล้ว ก็อย่าไว้วางใจ ควรตรวจสอบระบบไฟฟ้าทั้งภายในและภายนอก รวมถึงกล่อง ECU ว่ามีคราบน้ำหรือความชื้นหรือไม่ หากพบความผิดปกติ ให้ถอดขั้วแบตเตอรี่ออกและรีบให้ช่างตรวจเช็ก

น้ำท่วมรถ น้ำเข้ารถ รถยนต์พัง เคลมประกันรถยนต์ได้ไหม?
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงหน้าฝนแบบนี้ ปัญหาน้ำท่วมกลายเป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก บางคนขับลุยน้ำ บางคนจอดไว้แล้วน้ำเข้ารถจนเครื่องพัง หลายคนเลยสงสัยว่า น้ำท่วมแบบนี้ ประกันจ่ายไหม? คำตอบคือ ถ้าทำประกันชั้น 1 ไว้ ส่วนใหญ่จะคุ้มครองกรณีน้ำท่วม แต่ถ้ารู้สึกว่าเบี้ยแพงไป ลองดูประกันรถยนต์ประเภทอื่นๆ ว่าแบบไหน “จ่ายแน่” และแบบไหน “อาจต้องควักเอง”
ประกันชั้น 2+ คุ้มครองน้ำท่วมไหม
หลายคนอาจไม่รู้ว่า ประกันรถชั้น 2+ ให้ความคุ้มครองรถน้ำท่วมเช่นเดียวกับประกันรถชั้น 1 โดยเฉพาะในกรณีที่ขับลุยน้ำจนรถพัง หรือน้ำท่วมรถที่จอดทิ้งไว้ โดยประกันจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม แม้จะไม่ครอบคลุมอุบัติเหตุทุกกรณีเหมือนชั้น 1 แต่ก็ครอบคลุมเหตุหลักๆ อย่างรถชนมีคู่กรณี รถไฟไหม้ รถหาย และรถน้ำท่วม โดยเบี้ยประกันชั้น 2+ ส่วนใหญ่มักถูกกว่าประกันรถชั้น 1 อีกด้วย*
ประกันชั้น 3+ คุ้มครองน้ำท่วมไหม
โดยทั่วไปแล้ว ประกันรถยนต์ชั้น 3+ จะคุ้มครองเฉพาะกรณีรถยนต์ชนรถยนต์ด้วยกันเท่านั้น และ มักจะไม่ครอบคลุมความเสียหายจากน้ำท่วมหรือไฟไหม้ แต่ในปัจจุบัน บางบริษัทเริ่มมีแผนประกันชั้น 3+ ที่เพิ่มความคุ้มครองน้ำท่วมเข้ามาด้วย ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อ แนะนำให้เช็กรายละเอียดกรมธรรม์ให้ชัด ว่ารวมกรณีน้ำท่วมหรือไม่ เพื่อความชัวร์ เลือกแผนที่ครอบคลุมตรงกับความเสี่ยงของคุณ จะได้ไม่ต้องควักเงินซ่อมเองตอนเจอน้ำท่วมจริง*

ซื้อประกันรถออนไลน์ที่ไหนดี ไว้ป้องกันรถน้ำท่วม ตอนหน้าฝน
สำหรับใครที่กังวลว่าหน้าฝนนี้รถอาจได้รับความเสียหายจากการขับลุยน้ำ หรือจอดรถทิ้งไว้ในพื้นที่เสี่ยงน้ำขัง แล้วอยากหาตัวช่วยคุ้มครองความเสียหาย น้ำท่วมรถเพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้ต้องเสียค่าซ่อมหลักหมื่นถึงหลักแสนได้เลย โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- หากคุณกำลังมองหา ประกันรถยนต์ออนไลน์ ที่ทั้งคุ้มครองครอบคลุม และราคาเข้าถึงได้ การซื้อประกันรถยนต์ชั้น 2+ ซึ่งให้ความคุ้มครองโดยบริษัท ไทยไพบูลย์ประกันภัย และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย คือตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม เพราะให้ความคุ้มครองรถน้ำท่วม รถหาย รถไฟไหม้ รวมถึงอุบัติเหตุที่มีคู่กรณี ในขณะที่เบี้ยประกันก็ “เบากว่าชั้น 1” อย่างชัดเจน*
- แต่ถ้าคุณต้องการแค่ความคุ้มครองพื้นฐานในราคาย่อมเยา ประกันรถชั้น 3+ ซึ่งให้ความคุ้มครองโดยบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ใช่ เพื่อให้คุณมีหลักประกันไว้รับมือทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝันบนท้องถนน*
ซึ่งคุณสามารถซื้อประกันออนไลน์ของบริษัทเหล่านี้ได้กับ AEON โดยข้อดีคือ
- รับสิทธิ์ผ่อนชำระค่าเบี้ยประกันภัย ดอกเบี้ย 0% นาน 3, 6 และ 10 เดือน สำหรับบริการ “อิออน แฮปปี้ เพย์” เมื่อมียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป/เซลล์สลิป และสำหรับบริการ “อิออน แฮปปี้ แพลน” เมื่อมียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป/เซลล์สลิป*
- เริ่มต้นผ่อนชำระ 300 บาทขึ้นไป/เดือน นานสูงสุด 10 เดือน เมื่อมียอดผ่อนชำระค่าเบี้ยประกันภัย ตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป/เซลล์สลิป ด้วยบริการ “อิออน แฮปปี้ เพย์” หรือเริ่มต้นผ่อนชำระ 500 บาทขึ้นไป/เดือน นานสูงสุด 10 เดือน เมื่อมียอดผ่อนชำระสินค้าหรือบริการตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป/เซลล์สลิป ด้วยบริการ “อิออน แฮปปี้ แพลน*
ทั้งนี้ สามารถซื้อประกันออนไลน์ ได้แล้ววันนี้ ผ่านทาง AEON THAI MOBILE Application
*เงื่อนไขและความคุ้มครองเป็นไปตามที่บริษัทผู้รับประกันภัยเป็นผู้กำหนด
*ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี
*กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ย 22% - 25% ต่อปี
*กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 22%-25% ต่อปี
*รับประกันภัยโดย บริษัท ไทยไพบูลย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน)
*รับประกันภัยโดย บริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
*นายหน้าประกันภัยโดย บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)
*ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง
ประกันรถยนต์คุ้มครองรถน้ำท่วม ของมันต้องมีในหน้าฝนนี้
หน้าฝนแบบนี้ ขับรถลุยน้ำไม่ระวัง มีสิทธิ์ “รถพังแบบไม่รู้ตัว” แต่ถ้าขับให้ถูกวิธี และมี ประกันรถยนต์ที่คุ้มครองกรณีน้ำท่วม ก็ช่วยเซฟเงินค่าซ่อมไปได้เยอะมาก โดยตอนนี้สามารถซื้อประกันรถยนต์ได้ ผ่าน AEON THAI MOBILE Application ที่เป็นช่องทางให้คุณเลือกแผนคุ้มครองจากหลายบริษัทประกันชั้นนำ ทั้ง ประกันรถชั้น 2+ ที่เบี้ยเบากว่าชั้น 1 แต่ยังคุ้มครองน้ำท่วม และแม้แต่ ประกันชั้น 3+ จากบางบริษัท ก็เริ่มมีคุ้มครองน้ำท่วมเช่นกัน ซื้อออนไลน์ได้ทันที พร้อมโปรผ่อน 0% สบายกระเป๋า ทำให้การขับขี่ช่วงหน้าฝนนี้ก็อุ่นใจมากขึ้น ไม่ต้องกังวลน้ำเข้ารถอีกต่อไป!